ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม ลักแซมเบิร์ก เยอรมัน
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
การวีซ่า
การขอวีซ่า 2 เดือนก่อนเดินทางจริง 29 May 2015 เราทำการไปที่เว็บไซด์กรอกแบบ form ไว้กรอกชื่อ+passport number และพิมพ์เอกสารไปจ่ายเงินที่ ธนาคารกรุงศรี 480 บาท เมื่อได้เอกสาร loginเข้า website สถานทูตเพื่อทำการกำหนดวันสัมภาษณ์และเวลาที่เราต้องการ ดังนั้นหากเราหาตั๋วก่อนนานๆ เราน่าจะขอล่วงหน้าได้ค่ะ
ควรนำเอกสารสมุดธนาคารตัวจริงไปด้วยค่ะ เพื่อที่สถานทูตเขาไม่ต้องขอเอกสารเพิ่ม แต่หากมีเพื่อนรับรองเพื่อนต้องไปที่อำเภอในฮอลแลนด์เพื่อยืนยันการเดินทาง หลักฐานการเงินสำคัญและทุกอย่างที่เราแสดงให้เห็นว่าเรากลับมาแน่นอน
ตั๋วเครื่องบิน
ตั๋วเครื่องบินและวีซ่าเป็นปัญหา “ไก่กะไข่” ยังไงยังงั้นเลย คือซื้อตั๋วก่อนหรือได้วีซ่าก่อนดี อันนี้ก็แล้วแต่ละบุคคลนะ หากมั่นใจว่าได้วีซ่าแน่ออกตั๋วล่วงหน้าไปเลยค่ะ หาก 50 – 50 อิอิอิ ก็ออกตั๋วก่อนก็ดี เอาแบบคืนได้ คือว่าบางครั้งช่วงที่อากาศดีเป็นช่วง Peak ราคาตั๋วแพงมาก หากเราได้วีซ่าก่อนแค่ 2 เดือนเราไปออกตั๋วก่อน ราคาตั๋วที่เหลืออยู่จะเป็น Class ที่แพงมากม๊าก ค่ะ ดังนั้นเอกสารเตรียมเอกสารการเดินทางเปรี๊ยค่ะเอกสารอะไรก็ขนมาแสดงกันเลย ว่าไปเราไปแบบชั่วคราวไม่ได้แบบค้างปีหรือสองปี 555 ตัวอย่างที่รู้ๆกันค่ะ ขนไปเลยเช่น หนังสือรับรองการทำงาน โฉนดที่ดิน ภาระผ่อนส่งต่างๆหลักฐานการแต่งงาน กิจการที่เรามี อย่าลืมทำสำเนาเอาไปพร้อมตัวจริงนะค่ะ
ก่อนวันเดินทาง
การ pack กระเป๋า เที่ยวยุโรป ให้เรียบร้อย อย่าลืมเช็ค น้ำหนัก หากเที่ยวเองงบน้อยเอาของกินไปเผื่อก็ดีค่ะเพราะอาหารแพงมาก อาหารธรรมดาแบบ แซนวิช เบอร์เกอร์ ราคาประมาณ 3-5 ยูโรกินได้ 2 -3 วันก็จอดแล้วค่ะ คือเบื่อค่ะ แบบว่ามาม่าหรืออาหารง่ายๆ เช่นปลากระป๋อง มีคุณค่าเท่ากับปรากระพงราดพริกเลย ดังนั้นมาม่าหรือโจ๊กซองมีค่ะมาก
ออกเดินทาง
Day 1 – 22 July 2015 – ออกเดินทาง
เช็คอิน ออนไลน์ 2 วันก่อนเดินทาง เมื่อถึงสนามบินโหลดกระเป๋า เครื่องบิน SQ979 ออกจากกรุงเทพมุ่งหน้าสู่ สิงค์โปร รอเปลี่ยนเครื่องนั่งรอ 2 ชั่วโมง สามารถเอา Boarding pass ที่มี Bar code เพื่อดูว่า Flight ต่อของเราอยู่ออกที่ Terminal ไหน
ระหว่างรอ เราสามารถใช้ wifi free ที่สนามบินได้โดยการเปิด roaming register เบอร์โทรเรา หรือไปที่ counter แสดง boarding pass หรือ passport เพื่อขอ Password ได้ ระหว่างนั่งรอได้คุยและเห็นชาวต่างชาติเดินทางเต็มเครื่อง โดยมีทัวร์จากออสเตรเลียไปล่องเรือทางทะเลเหนือ Flight OKแต่ได้นั่งข้างหน้าต่าง เข้าออกลำบากเลยไม่ได้กินน้ำมากกลัวฉี่บ่อยและไม่ได้นอน อีกอย่างรอแอร์โฮลเตสเอาเอกสารเข้าประเทศมาให้กรอก แต่จนแล้วจนรอดไม่มีการแจกเอกสารที่เราบอกรายละเอียดและ declare สิ่งของ เมื่อลงเครื่องอากาศค่อนข้างเย็นประมาณ 20 องศา
Day 2 : Thu 23 July 2015 Arr Sin-AMs 23 July 2015 – 23.55-07.15 พี่ก้อยมารับ นอนบ้านพี่ก้อย 1 คืน
เมื่อถึงสนามบิน ผ่านตรวจคนเข้าเมืองเขาถามว่ากลับเมื่อไร เอกสารที่เตรียมเข้าเมืองไว้ยื่นไปทั้งบึกและบอกว่ามาเที่ยว พี่ก้อยมารับแต่เช้า ประมาณ 08.00 ยืนรอตรงทางออกที่สนามบิน Skipo เราออกเดินทางไปที่บ้านพี่ก้อยประมาณ 45 นาทีถึงOudkarspel หรือเมือง Langedijk ถนนแห่งแรกของเนเธอร์แลนด์ บ้านหลังเล็กในชุมชนโบราญ บ้านที่นี่หลังเล็ก ไม่ใหญ่สีเดียวกันคือสีอิฐ ไม่มีการทาสี
ถนนปูด้วยอิฐบล๊อก
บ้านแถบนี้หน้าตาเหมือนกันหมดเลย ตอนไปไฮเดครยียกำลังบานสะพรั่ง
บ้านหลังเล็กแต่ก็จัดสวนจัดดอกไม้แข่งกันน่ะค่ะ
หลังจากถึงบ้านพี่ก้อยพัก ประมาณ 2-3 ชม. ทานอาหารเที่ยง เป็นอาหารไทยอย่างง่ายฝีมือพี่ก้อยก่อนออกไปซื้อโทรศัพท์ที่ Shopping mall ใกล้อำเภอ Heerhugowaard ห้างที่นี่ไม่ใหญ่มาก ออกแนวร้านเช่าเป็นส่วนใหญ่ เราเดินดูอะไรเล็กน้อยเพื่อเตรียมตัวเดินทางพร้อมซื้อโทรศัพท์ สรุปได้Vedophone โปรแกรม ยุโรป +3G ค่าใช้จ่าย 20 ยูโร เมื่อได้ของครบเรา เดินทางต่อไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชื่อว่า Jumbo ร้านราคาไม่แพง ที่นี่เราสามารถเอาเครื่อง scan barcode สินค้า และรู้ยอดเงินได้ และเราได้ทำงานแทน cashier ไปแล้ว ช่องจ่ายเงินเป็นช้องพิเศษหากรอคิวเป็นคนที่ 4 ได้ของฟรี เรียกว่ามาทำเมืองไทยไม่ได้เจอแทคทีมแน่ๆ ที่นี้ไม่มีถุงให้ต้องเอามาเอง และรถเข็นต้องมัดจำเงินไว้ 50 เซ็นต์เมื่อคืน ณ. จะได้เงินคืน เรียกว่าไม่ใช้คนแหละ ไม่อยากจ้างงานเพราะต้องจ่ายสวัสดิการมากมายที่เป็นค่าใช้จ่ายผูกพัน
ที่จอดรถจักรยานอย่างเป็นระเบียบ
ของขายใน supper market มีหลายอย่าง ผักผลไม้ขนม ขนมถุง ชีส เชอร์รี่ นั้นถูกกว่าบ้านเรา ที่เหลือแพงหมด Bob ซื้อ Drop ขนมรถหวานเผื่อนๆ ให้ลองทาง รสชาติแย่มากๆ
ร้านดอกไม้ใน Jummbo Shopping Mall
หยิบเลย เครื่อง Scan Barcode โดยบริการตัวเองช่วยลดคนทำงาน
ผลไม้แนะนำคือผลไม้เมืองหนาวได้แก่ แอปเบิ้ล เชอรรี่ สตอร์เบอรรี่
โดริโทส ขนมโปรด
เอาอะไรก็ scan ได้เลยค่ะ
หลังจาก city orientation เราเดินทางกลับบ้าน
ตอนเย็นเดินรอบหมู่บ้านเพื่อชมสวนของชาวบ้านและบรรยากาศริมคลองเนื่องจากอากาศดี
อันนี้ถ้าจำไม่ผิดคือศาลเก่าค่ะ
โบสถ์ประจำเมือง
สะพานข้ามไป โบสถ์
ไม่น่าเชื่อที่เมือง ออกกัสโบจะมีบ้านเหมือนเมืองไทย หน้าหนาวจะรอดไหม
นั่งเรือชมคลอง เป็นกิจกกรรมที่ชาวบ้านแถวนี้ทำประจำ
Day 3 : Fri 24 July 2015 ไป Luxemburg – Vianden
วันนี้เราออกแต่เช้าประมาณ 07.00 ขับรถไป 1ช.ม ได้ Break ที่ปั้มน้ำมัน ทานอาหารเช้าเป็น Wrap smoke salmon อร่อยดีและได้ซื้อ waffle ที่เป็นอาหารหลักของชาวฮอลแลนด์
เมื่อกินข้าวและเข้าห้องนำเสร็จ เราเดินทางต่อไป ViandenLuxemburg ระหว่าทางเราหยุดที่ outlet shopping mall เดิน Shopping ประมาณ 3 ชม ได้รองเท้าให้น้อง 1คู่ พี่ก้อยได้กะเป๋าโคช ส่วนแก๊บ ได้ลูกบาสหนึ่งลูก
ทางตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์มี outlet ของแบรนด์เนมมีครบค่ะและราคาก็ลดลงจากราคาปรกติ
ราคาสินค้าลดกว่าปรกติ 30-70 เปอร์เซ็นต์ ราคาถูกเหมือน outlet ที่อเมริกา เราทานอาหารจีนที่outlet มีคนทางจำนวนมากเพราะให้เยอะและราคาถูกและเสริฟได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นเราเดินทางต่ออีกประมาณ 2 ชม โดยมี Tom Tom ชื่อเล่น GPS ของชาวดัดช์ เป็นตัวนำทางเราเดินทางถึง Vianden ประมาณ 15.30 น. เราทำการ หาโรงแรมเจอ เป็น Guest house ที่พักใหม่มากแต่ห้องน้ำรวม ซึ่งสะอาดดี เมื่อจอดรถ check in และun pack ประมาณ 1 ชม จากนั้นเราทำการเดินสำรวจเมือง ฝั่งริมแม่น้ำเดินเล่นประมาณ ชั่วโมงกว่าๆและทำการถ่ายรูป เมืองเล็กๆที่น่ารักแห่งนี้ อีกฝั่งของแม่น้ำเป็นเขาสูงพร้อมมีปราสาทโบราญตั้งตระหง่านอยู่ ที่เราเตรียมตัวชมในวันรุ่งขึ้น
เส้นทางสวยงามแบบธรรมชาติ
ถึงที่พักแล้วสะอาดดี มุมสวยๆจากห้องพัก
Hotel A Le Ville De Brusells
โบสถ์ประจำเมืองเวียนเด้น
ภายในโบสถ์
บ้านสวงวาม
ฝายกั้นน้ำขนาดเล็ก
ร้านอาหารริมธาร
ร้าน Kabub and More มีพิซซ่าขายอร่อยมากๆ
อร่อยริมถนน
Day 4 : Sat 25 July 2015 Luxemburg
เมื่อเราได้ทราบข้อมูลจากศูนย์การท่องเที่ยว Tour center เขาแนะนำให้เราซื้อ Daily pass สำหรับtrain + bus เพื่อเดินทางไปในเมือง Luxemburg เป็น family rate 28ยูโรและ หากเดินทางคนเดียวจะคิดที่ 13 ยูโร เราต้องเดินทางไป จาก Vienden ไปที่สถานีรถไฟ จากนั้นต้องไปรถไฟอีก 30 นาทีถึงในเมือง รถไฟใหม่ดี และก่อนถึงตัวเมืองเราจะเห็นความสวยงามของเมืองเก่าที่สวยงาม เมื่อถึงสถานีรถไฟเราเดินไปหาtour center ได้รับคำแนะนำให้ไปเมืองเก่าโดยรถบัส ประมาณ 1.5 ก.ม. เท่านั้น เมื่อถึงเมืองเก่าเราได้เดินหา tour center เราซื้อตั๋วค่าเข้าชมประมาณ 8 ยูโรต่อคน แต่ไม่สามารถรอ walking tour ได้เพราะเริ่มบ่ายสามโมงและเต็มแล้ว เราเดินชม Cathedral วิหารอันสวยงาม มีอาหารและผลไม้ขายด้วย อากาศวันนี้เย็นประมาณ 16-18 องศาแต่ใส่ขาสั้นไป และเดินดูหมู่บ้านหุบเขาป้อมค่ายของเมืองโบราญ ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 12 ความอลังการในกาการทำกำแพงเมืองป้องกันศัตรู
รถบัสต่อรถไฟ 1 ช.ม มีเวลาเอ็นจอยสองข้างทาง
วิวมืองลักแซมเบอร์กมองจากรถไป ขนลุกค่ะ สวยงามมาก
สถานนีรถไฟ
เติมพลังโดนแซนวิซกัน ราคาย่อมเยา 5 ยูโร ขอบอกที่นี่ห้องน้ำ 50 เซนต์
กลางเมืองลักแซมเบิร์กก็มีสินค้าหรูหรานะคะ
จตุรัสกลางเมือง
ร้านขายชีส
จตุรัสกลางเมืองขายดอกไม้ด้วย
พระราชวังในลักแซมเบิร์กเมืองอลังการสุดๆ ข้างล่างเป็นหุบเขาค่ะ
เมืองหุบเขา
ลักแซมเบิร์กได้เป็นเมืองมรดกโลกน่าจะประมาณ 1982 น่ะค่ะ หลังจากอยุธยา 1 ปีค่ะ
ประมาณ 17.00 เราตัดสินใจกลับเพราะกลัวว่าจะตกรถ ซึ่งเราต้องรอรถบัสนานจริงๆ เมื่อถึงก็นอนหลับรอ Festival ที่เมืองนี้
ขากลับเราเจอร้านอาหารและซื้อของที่ TOKO ได้มาม่ามาหลายห่อก่อนเดินทางกลับ
เกร็ดความรู้เรื่องลักแซมเบิร์ก ราชรัฐลักเซมเบิร์กเป็นนครรัฐ มีประวัติความเป็นมาย้อนหลังมากกว่า 1,000 ปี เมื่อปี พ.ศ. 1506 เคานท์ซิเอกฟิลด์แห่งลักเซมเบิร์ก เคานท์แห่งอาร์เดนเนส และผู้ก่อตั้งราชวงศ์ลักเซมเบิร์กสร้างปราสาทในบริเวณเมืองหลวงของลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนั้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ้อนล้อมรอบหลายชั้น เป็นที่รู้กันทั่วไปในนาม “ยิบรอลตราทางเหนือ” (The Gibraltar of the North) ในช่วงปลายยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 15 ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กมีความรุ่งเรืองมาก กษัตริย์หลายพระองค์ในยุโรปสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์นี้ อาทิ จักรพรรดิปกครองเยอรมนี 4 พระองค์ กษัตริย์ปกครองโบฮีเมีย 4 พระองค์ และกษัตริย์ปกครองฮังการี 1 พระองค์ กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของลักเซมเบิร์ก
Day 5 : Sun 26 July 2015 Vianden – เยอรมัน เมือง Heidelberg
ตื่นเช้ากินมาม่าห่อ ช่วยชีวิตได้ 10.00 น. เข้าปราสาท เสียค่าเข้าเพิ่มอีอีก 8 ยูโรเนื่องจากมี Festival
วิวสวยของวิหารเวียนเด้น
ปราสาทเวียนเด้น Viandent สร้างช่วง ศตรวรรษที่ 11 -14th (ประมาณปลายช่วงขอม ต่อด้วยสุโขทัยถึง อยุธยานะ) บนรากฐานการก่อสร้างที่ผู้อพยพชาวโรมันและราชวง์แคโรแลงเจียนเคยสร้างไว้ ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ใหญ่และได้รับความยกย่องว่าเป็นปราสาทสวยที่สุดในยุคโกธิค Henny I ปรครองเวียนเด้นปีค.ส. 1220-1250 นับเป็นจุดที่มีความรุ่งเรืองสุดจนปี 1820 ปราสาทถูกขายแยกโดยกษัตริวิลเลี่ยม แห่งราชวงค์ ออร์เล้นของฮอลแลนด์ จนกระทั้งดยุคแห่งลักแซมเบริ์กได้ทำการบุรณะใหม่ในปี 1977 จนมีความงดงามเช่นปัจจุบัน
กลับมาที่งาน Festival มีคนขายของแต่งตัวแบบโบราญดูสนุกสนาน เมื่อถึงบนปราสาทเราเห็นวิวเมืองทั้งหมดและได้ทำการถ่ายรูป และมี การเดินสวนสนามของทหารที่จะขึ้นบนหอคอและทำการยิงปืนต่อสู้ให้ดู ต่อด้วยการต่อสู้ ด้วยดาบโบราญ โชว์ระบำส่วนเอว ที่ดูเหมือนอาหรับมากกว่าและนักดนตรีแบบโบราญ ถือว่าสนุกสนานและเป็นจังหวะที่ดีที่เราได้เข้าชม มีคนทยอยเข้ามาในปราสาทมากมาย ของขายหลายอย่างน่าสนใจ ขนมมาแรง วัฟเฟิ้ล เครื่องปะดับ ครีมทาผิวและ ของ Hand made ที่ดูแล้วเพลินตา ชม พิพิธภัณฑ์มีอาวุธเครื่องป้องกันต่างๆ ที่น่าชม แต่การมีคนแต่งชุดโบราณมาเดินเล่นทำให้เราดูแล้วสนุกและทำให้ปราสาทนั้นเหมือนมีชีวิตชีวาทีเดียว
พาเหรด การแสดงบนปราสาท
เดินทางอีกประมาณ 2.30 ช.ม. ผ่านชายแดนเยอรมันเราหยุดพักทานอาหารที่เมืองเล็กๆและเป็นอีกร้าน Kebub & more ที่เราเลือกทาน Pizza จากนั้นเราเดินทางต่อไปที่ ไฮเดรนเบิร์ก เรามุ่งหน้าไปที่โรงแรม
มุมสวยของปราสาท
เกล็ดเรื่องเมืองไฮเดรนเบิร์ก เมืองเล็กที่ตั้งบนหุบเขาไรน์ริฟ (Rhine Rift Valley) ริมแม่น้ำเน็กเคอร์(Riverk Keckar) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมันนี เมืองแห่งนี้ถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับห้าของมลรัฐ Baden-Wurremberg ที่ไฮเดรนเบิร์กพบหลักฐานยุคก่อนประวัตินับแสนปี มีคนอยู่อาศัยมาตลอดในยุคกลางจนปัจจุบัน เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและถูกเรียกขานว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกและมีทัศนียภาพที่งดงาม มีปราสาทไฮเดรนเบิร์ก สไตล์บารอกอันงดงามตระหง่านบนชายเขาที่เห็นวิวเขาหลังคา
เดินทางถึงโรงแรมประมาณ 15.00 พักผ่อนประมาณ 2 ช.ม. ที่นี้โรงแรมเล็ก เรามีโทรศัพท์ที่โทรหาเจ้าของโรงแรมแล้วเขาให้รหัสเพื่อเอากุญแจห้องพับ ปรากฏว่าได้ห้องเดียวเจ้าของโรงแรมเลยต้องกลับมา จากนั้นประมาณ 18.00 เราไปที่สะพานในเมืองเพื่อถ่ายรูปปราสาทอันสวยงาม เวลา 18.00 ยังไม่มืดจึงได้เหมือนกลางวัน เดินประมาณ 1 ช.ม. หมดแรงจึงไปหาร้านหารไทยที่เมืองนี้ชื่อร้านสุนิสา กินอาหารแบบสบายๆ ตามที่เราคุ้นเคย อาหารอร่อยดีราคาไม่แพง มีเมนูเป็นร้อยเมนู รสชาติใกล้เคียงกับเมืองไทยมาก ต่อจานั้นเราเดินทางกลับไปที่สะพานเพื่อได้รูปวิวตอนกลางคืน อันสวยงาม แต่โชคไม่ดีที่ฝนตกตลอด
เติมพลังด้วยอาหารไทย
Day 6 : Mon 27 July 2015 ไฮเดรนเบิร์ก – เมืองโคโลนจ์
เดินทางไปไฮเดรนเบิร์กอีกรอบเราจอดรถไว้ที่เดิม เดินข้ามสะพาน
จากนั้นเดินเข้าจัตุรัสกลางเมืองมุ่งหน้าสู่ ปราสาทไฮเดรนเบิร์ก ปราสาทได้รับอิทธิพลจากแบบโกธิคผสมเรเนซองค์ ปราสาทสร้างเป็นที่ทับของเจ้าชายอิเลคเตอร์ ลูเฟิตร์ด ที่ III Prince Elector Ruprecht III ช่วงเวลาที่ท่านปกครองได้แก่ ค.ส.1398-1410 (อยุธยาตอนต้นค่ะ) สวนและอาคารถูกปูพื้นด้วยหินขนาดใหญ่และหินก็ถูกใช้เป็นโครงสร้างอาคาร ศตวรรษที่ 15-17 ราชวังอีกสองหลังถูกสร้างและต่อเติมเพิ่ม และหลังจากนั้นถูกนำไปใช้ในการทำเหมืองก่อนที่จะได้รับการบูรณะในสภาปัจจุบัน
เราไม่ได้เดินขึ้นปราสาทแต่ขึ้นรถราง รถรางแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกรวมค่าเข้าปราสาท แต่ส่วนที่สองต้องจ่ายเพิ่มหากต้องการชมวิว หรือหากอยากเดินขึ้นก็เพียงสามกิโลเมตรเอง
เราขึ้นรถลางและเดินลงมาประมาณ 500 เมตร เราเห็นปราสาทระดับที่สูงกว่าเดิมลงบันไดและเข้าสู่สวนแสนสวย มีรูปปั้นสวยงาม ทำให้เราใช้เวลาถ่ายรูปเมืองและสวนเป็นชั่วโมงอากาศวันนี้ดีมากเหมาะแก่การเดินเล่น จากนั้นเราเข้าชมปราสาทและได้เข้าดูพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยา เขาผลิตเพนิซิลินมาตั้งแต่ ค.ส. 1800 ปราสาทแห่งนี้โบราณและพุพังไปตามกาลเวลา ดูแล้วเหมือนโคลิเซียมเพราะหลังคาบางส่วนหายได้แล้ว ตัวตึกทำจากหินสีแดงออกสีปูนเปียก สวยงามมาก มีเทพเจ้ากรีกโรมันประดับประดาโดยรอบ ขายกลับเราเดินลงบันได้หิน ขาลงย่อยมงานกว่าขาขึ้นอยู่แล้วค่ะ เราเดินกลับที่สะพานและเลือกไปถ่ายรุปลิงสัญลักษณ์ของเมืองและไปทานข้าวที่ร้านสุนิสาร้านเดิมแบบหนักๆ
จากนั้นบ๊อบขับรถอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งไปที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมัน เราทางถึงประมาณ 17.00 และ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดคือเราทำการจองโรงแรมผิดวันไม่มี Booking จึงต้องจ่ายเงินเพิ่มไปตามระเบียบ เราเดินร้านอาหารไทยแต่ไม่ได้ทานและเดินไปซื้อของให้แก็บ น้องคนไทยแนะนำให้ขึ้น tram แต่คนละ 8ยูโรเราเลย
Day 7 : Tue 28 July 2015 27 เมืองโคโลนจ์(Cologn – Koln)– ฮอลแลนด์
แนะนำเมืองโคโลนจ์
โคโลญ เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศเยอรมนี รองจากเบอร์ลิน ฮัมบูร์ก และมิวนิก และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย โคโลญเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนี สร้างโดยชาวโรมัน มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึง ค.ส 50 เมืองโคโลญตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ มีมหาวิหารโคโลญ (Kölner Dom) ซึ่งเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียง มหาวิทยาลัยโคโลญ (Universität zu Köln) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ
เราออกเดินทางประมาณ 10.00 น. และเราได้ไป จอดรถฝั่งตรงข้าม ขับรถไปจอดเพียง 6 ยูโรเท่านั้น ประมาณ 5 ชมและเราได้เดินข้ามสะพานเหล็กแต่ก่อนไปเข้าห้องน้ำและกิน Subway เพิ่มพลัง และเดินไปที่เมืองโคโลน Cathedral ที่เมืองโคโลญ ใหญ่โต มโหฬาร สูงที่สุดในยุโรป ทำให้เห็นความสวยงามของสถาบัตรยกรรมยุโรปอันสวยงาม
โบสถ์โรมันคาทอลิก ในเมืองโคโลญ
เที่ยวยุโรป ที่ต่อมาที่อาสนวิหารนักบุญเปโตร โคโลญ (อังกฤษ: Cologne Cathedral; เยอรมัน:Kölner Dom) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก ในเมืองโคโลญ เป็นสถานที่ประทับของอาร์ชบิชอปแห่งโคโลญ สถานที่นี่มีชื่อเสียงในฐานะเป็นที่ศาสนสถาน นิกายเยอรมันคาทอลิก สถานที่แห่งสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่ประพิธีกรรมของสามมหากษัตริย์แห่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นสถานที่เก็บหีบสามกษัตริย์ไว้ ณ ที่แห่งนี้ด้วย ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองแห่งนี้ มีผู้เยี่ยมชมราวๆ 20,000 คนต่อวัน
มหาวิหารโคโลญได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1248 แต่มีปัญหาให้ต้องหยุดพักการก่อสร้างไปบ้าง จึงต้องใช้เวลากว่าหกร้อยปีจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ และ สร้างเสร็จในปี 1880 พร้อมกับมีพีธีวางหลักหินบันทึกข้อมูลการก่อสร้าง มหาวิหารโคโลญเป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก นับเป็นวิหารที่ใหญ่และเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกในเป็นเวลา 4 ปี ( ปี ค.ศ 1880-1884) ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองโคโลญ ถูกทิ้งระเบิดทางอากาศทั้งหมด 14 ลูก แม้วิหารจะได้รับความเสียหายบางส่วน แต่ก็ไม่พังทลายลงมา ซึ่งเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ บ้างก็เชื่อว่า เพราะวิหารเป็นจุดสังเกตที่สำคัญของนักบิน จึงไม่ต้องการจะระเบิดทำลายทิ้งไปเสียทีเดียว จากความเสียหายดังกล่าว จึงมีการซ่อมแซมภายในต่อมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1945 – 1948
แต่ถึงอย่างไรก็ดีปัจจุบันก็ยังคงติดอันดับสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอยู่ด้วย และปัจจุบันก็ได้ถูกจัดอันดับให้อยู่อันดับ 4 วิหารที่สูงที่สุดในโลกลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิก เป็นหอคอยแฝดสูง 157.38 เมตร กว้าง 86 เมตร ยาว 144 เมตร สร้างเพื่ออุทิศให้นักบุญซีโมนเปโตรและพระนางมารีย์พรหมจารี ปัจจุบันมหาวิหารโคโลญนับจุดหมายสำคัญของเมืองโคโลญและประเทศเยอรมนี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 2536 ( จากเหตุผลที่ i, ii, iv )
ข้อมูลจาก wipedia.org
มีนักท่องเที่ยวมาชื่นชมอย่างสวยงามและยังเป็นที่ที่เราสามารถมา shopping โคโลญอันเลื่องชื่อคือ 4711สูตรลับที่ได้จากพระศาสนาคริสออกขายมาแล้วหลายร้อยปี เราได้ถ่ายรูปและ shopping อย่างหนำใจก่อนเดินทางกลับฮอลแลนด์ ประมาณ 3 ชม.
Day 8 : Wed 29 July 2015 เที่ยวฮอลแลนด์กัน พิพิธภัณฑ์ทะเลใต้
วันนี้อยู่บ้านพี่ก้อย 1 วัน ซักผ้าแล ะไปห้างเพื่อ updated 3G ที่ velophone เราจ่ายเงินและทำการ เพิ่มทาง credit card อีก 10 เหรียญ ไปที่ shopping mall คือ แค่ทำการเปิดปิดโทรศัพท์ก็สามารถใช้ 3G ได้ วันนี้อยู่เฉยๆ ทำการโทรหา ทางการรถไปเพื่อรู้ว่าต้องไปขึ้นที่ไหน ไป shopping ซื้อของกินที่ shopping mall เล็กน้อย
ตกบ่ายเราไป Zuidezee museum ซึ่งก็คือ South sea museum จ้า เป็น Open air museum ที่เริศมาก เพราว่ารวบรวมบ้านเก่าอายุกว่าร้อยปีมาทำเป็นหมู่บ้าน เรานั่งเรือกันไปที่พิพิธภัณฑ์ บริเวณนี้ทั้งหมดเคยเป็นทะเล ชาวฮอลแลนด์ ทำ Dam หรือ Dike หรือทำนบ แล้วดูดน้ำออกให้กลายเป็นแผ่นดิน เทคนิคนี้ทำกันมานานมากเป็นร้อยๆปีแล้วค่ะ สามารเรียนรู้ได้ที่ศูนย์เรียนรู้ที่มีวีดีโอให้ดูอีกต่างหาก museum เป็นที่เรียนรู้จริงๆ เขาถึงพาลูกหลานมาเที่ยวมากมายในช่วงปิดเทอม
กลับมาที่South sea museum ที่นี่มีกิจกรรมครบครัน ตั้งแต่กิจกรรมทางน้ำ เป็น outdoor สามารถ พายเรือหรืออาบแดดได้ เมื่อเราดินเข้าไปใน บ้านเล็กจะมีเรื่องราวของบ้านหลังต่างๆ ที่ถูกขนย้ายมาที่นี่ จากนั้นเราจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้สร้างประมาณ ค.ศ 1900 – 1920s เป็นบ้านหลังเล็กมากๆ ตอนแรกเรานึกว่าเขาตัวใหญ่ จริงๆ ตัวเขาโตหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่เองค่ะ เพราะการดื่มนมหรือ daily product ที่มากขึ้นค่ะ ในหมู่บ้านนี้มีบ้านทำ Rope Maker คือการทำผ้า บ้านทำไม้กวาด บ้านแต่ละหลังนั้นประกอบด้วยห้องนอน ซึ่งเล็กมากเหมือนตู้นอน ห้องโถงใหญ่ที่สุดที่เอาไว้นั่งเล่นและทานอาหาร ห้องครัวที่เล็กกะทัดรัด ใช้ซักผ้าล้างจานด้วยค่ะ ที่น่ารักคือเขาจะมีคนแก่หรือพนักงานแต่งตัวชุดโบราณ ใส่รองเท้าไม้
Polder แปลว่า ที่น้ำท่วมถึง จริงๆมันคือที่ต่ำที่ถูกดูดน้ำออกไป จุดนี้มี กังหันลม ทุ่งหญ้า ที่ตากปลา
Town Canal เนื่องจากชาวฮอลแลนด์สูบน้ำออกแต่เขาก็ยังมีคลองเพื่อหล่อเลี้ยวตัวเมือง ในเมืองนี้ประกอบด้วย ธนาคารเกษตร เรื่องรามเกี่ยวกับรถยนต์ ร้านซักรีด บ้านคนรวย ร้านขายเนื้อ ร้านขายชีส ร้ายถ่ายรูป ร้านขายขา ร้านเบอเกอร์รี และร้านเสื้อผ้า ซึ่งมีความเป็นเมืองมากและอุตสาหกรรมมากขึ้น ตามลำดับ ร้านทุก้านมีเจ้าหน้าที่อธิบาย เช่น ที่ธนาคารเอาสมุดบันทึก 100 ปีที่แล้วให้ดูamazing สุดๆ แนะนะอีกร้านคือร้านขายยา ตลกดีค่ะ
ส่วนที่เกี่ยวกับ โบสถ์และโรงเรียนก็ทำได้ดี เรียกว่าเที่ยวที่นี่อยู่ได้ทั้งวันเลยค่ะ
Day 9 : Thu 30 July 2015 Belgium 3 days visit Agent รถไฟ – ไปบรัสเซล 3 ชม
เราออกจาบ้านประมาณ 06.00 เพื่อเดินทางไปสนามบิน skippo เพื่อซื้อตั๋วรถไป เราเอารถช้าชั้นสองซื้อไปกลับเลยราคา 78 ยูโรเราไปลงที่เดนบอสในขากลับใช้เวลา 3 ชม ขาไปไม่ต้องต่อรถแต่ขากลับต้องต่อรถ หากเป็นขากลับต้องเปลี่ยนรถที่ Rotterdam โดยหากซื้อรถเร็วจะใช้เวลา 1.30 ช.ม. และราคาอยู่ที่ 80 ยูโรต่อเที่ยว เราถึง บรัสเซลประมาณ 11.00 เมื่อถึงเรายืนดูแผนที่ที่ไม่ได้เปิด 3G จึงตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ ประมาณ 7 นาที ระยะเดินทาง 1.5 ก.ม. ราคา 10 ยูโร เราเอากระเป๋าใส่ห้องฝากไว้จากนั้นหาหาอะไรกินก่อนเดินทางไป บรูจ ระหว่าทางเราเห็นคนเอชียและญี่ปุ่นเพียบ นั่งรถประมาณ 1 ชมก็ถึงเมืองจากนั้นก็ได้ทำการนั่งรถเมย์และเดินหาเอเจ้นได้ทันเวลา 3G ไม่ได้เปิดจึงเดินหาและเดินถามทางอย่างสนุกสนาน
จากนั้นเราเดินชมเมือง มีนักท่องเที่ยวมากมายและรถม้าชมเมืองรวมถึง canal tour เดินชมเมืองและดูของขายมากมายก่อนที่เราจะเดินกลับไปที่บรัสเซล จากนั้นเดินหา place road สำหรับ meeting place สำหรับทัวร์วันรุ่งขึ้น
***Gîte d’Etape-Auberge de Jeunesse Jacques Brel ***
Day 10 : Fri 31 July 2015 Belgium 3 days visit Agent ** เที่ยวเอง >> Burges
Brussels and Ghent & Burges Tour 09.00 – 9 hours GYG
ทุกคนมาเจอกันประมาณ 6 โมงเช้า มีคนไปเที่ยวเต็มรถซึ่งเจอคนสิงค์โปรที่ขึ้นรถผิดคัน
รถเริ่มออกเดินทางไปแกรน์ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่แม่น้ำลิส Lysและ Scheldt บรรจบกัน เมืองล้อมรอบไปด้วยคลองและแม่น้ำ เกือบทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เกิดขึ้น ค.ศ 1000-1550 แกรน์เป็นศูนย์กลางของยุโรป เป็นในเมืองชั้นนำสมัยนั้นเจริญกว่าลอนดอน เป็นรองแต่เพียงปารีสเท่านั้น เมืองแห่งนี้เคยถูกปกครองโดยพ่อค้า อิงอำนาจกับฝรั่งเศส อังกฤษ และฮอลแลนด์ ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งกับประเทศเบลเยี่ยม
เราได้ออกรถและเดินทาไปแกรน์เมืองโบราญที่สร้างโดยอิทธิพลของเยอรมันกับฝรั่งเศส เมืองนี้มีสีสันต์ landscape สวยงาม และ Cathedral ก็สวยงามเราอยู่ที่นี่ดูสถาบัตรยกรรมประมาณ 3 ช.ม.ก่อนเดินทางต่อเพื่อทานอาหารเที่ยง แต่เราไปทานที่ บรูชแทน ไกด์โฆษณา ร้านอาหารคือหอยนางรม แต่มีคนกินด้วยนิดเดียวเราเลือกกินวัฟเฟิลและ fried ที่ทาวโลกเรียกว่า French Fried แต่จริงๆเกินที่เบลเยี่ยม คนเบลเยี่ยมจะไม่เรียกว่า French Fried เดินชมและขึ้น Canal อย่างสนุกสนาน ก่อนเดินทางถึงประมาณ 19.00 ถึงตอนค่ะเราพึ่งรู้ว่าสามารถใช้ห้องครัวได้จึงกินมาม่าสำหรับวันนี้
บรูช (อังกฤษ: Bruges) หรือ บรึคเคอ (ดัตช์: Brugge) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลานเดอร์ตะวันตกในบริเวณเฟลมมิชในประเทศเบลเยียม ตัวเมืองตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ห่างจากบรัสเซลประมาณ 1 ช.ม.
ศูนย์ประวัติศาสตร์ของเมืองได้รับเลือกให้เป็นเมืองในมรดกโลกของยูเนสโก ตัวเมืองรูปไข่ บริเวณตัวเมืองและปริมณฑลมีเนื้อที่ 616 ตารางกิโลเมตร ทางตอนเหนือของเมืองมีลำน้ำที่ใช้ในการคมนาคมรอบ ๆ ได้ ทำให้บรูชเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “เวนิสเหนือ” บรูชมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเคยเป็นเมืองท่าและมีความสำคัญในทางศิลปะในยุคจิตรกรรมยุคเนเธอร์แลนด์ตอนต้นในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16
Day 11 : Sat 1 Aug 2015 Belgium >> 09.00 – 12.00 Chocolate workshop Walking >> Viator
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยี่ยมที่มี Keyword คือ ชอกโกเลต เบียร์ มันฝรั่งทอดและวัฟเฟิล แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอในการ เที่ยวยุโป ซึ่งมีผู้คนทั้งในและนอกยุโรปเดินมาท่องเที่ยวที่นี่ มากเป็นพิเศษสำหรับช่วงวันหยุดหรือวันหยุดยาว นอกจากนี้ เมืองแห่งนี้ยังมี พิพิธภัณฑ์ มากถึง 90 แห่ง มีสวนสวยงาม พระราชวังและอีกมากมาย
หลังจากอาหารเช้าก็พร้อมที่ join walking tour ของดอมที่เราพักอยู่ มีไกด์หนุ่มหล่อชาวเวเนซุเอล่า ไกด์ลากจักรยานมา มีเราร่วมเดินทางไปรับนักท่องเที่ยวจากโรงแรมอื่น ทั้งหมดประมาณ 30 คนได้ ไกด์มาอยู่ที่นี่ได้สองปีเขาบออกว่าบัสเซลเจริญมากเพราะได้รับเลือกให้เป็นศูนย์กลางอย่างไม่เป็นทางการของยุโรป (EU) มีหน่วยงานและองค์กรของสหภาพยุโรปมาตั้ง ทำให้มีโรงแรมเกิดขึ้นมากมาย มีผู้คนมาท่องเที่ยวและนักเดินทางมาติดต่อธุระทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นมากมาย
เริ่มต้นทัวร์ จัตุรัสกลางเมือง จัตุรัสแกรนด์เพลส หรือ กรองด์ ปลาซ (Grand Place หรือ Grote Markt)ไกด์แนะนำตัวเองพร้อมอธิบายว่าเราจะไปไหนกันบ้างภายในสามชั่วโมงนี้ The Grand Place มีร้านอาหารมากมาย ตึกหลายตึกและถนนเคยเป็นศูนย์กลางของสหภาพอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การค้าเนื้อ เนยและเบียร์เป็นต้น บางตึกสร้างสมัยศตวรรษที่ 15 มีถนนถึงเจ็ดสายมุ่งตรงมาที่นี้ตัวอาคารก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อาคารส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลตามรูปแบบโกธิคและเรเนซอง ปัจจุบันบ้างก็ถูกใช้เป็นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของ ศาลว่าการเมืองบรัสเซลล์ ยังแต่ ส่วนลานตรงกลางก็เป็นที่นัดพบหรือนำสินค้ามาวางขาย
จุดสำคัญที่ควรไปชมคือ Brew house เคยเป็นที่เขียนหนังสือของคนดังที่หนีออกมาจากฝรั่งเศส นั่นก็คือ Karl mark นั่นเอง นั่งแต่งตำราสังคมนิยมที่นี่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่เลนินจะนำไปใช้ที่รัฐเซีย
เมเนเก้นพี Meneken Pis หรือรูปปั่นเด็กผู้ชายยืนฉี่ เล่ากันว่าเด็กได้ฉี่เพื่อดับไฟ ที่ทหารฝรั่งเศสวางเพลิง ช่วยให้เมืองปลอดภัยจากข้าสึก ปัจจุบันมีคนส่งชุดมากกว่า 3,000 ชุดทั่วโลกมาให้เปลี่ยนใส่ทุกวันก็ยังไม่ครบชุดนานาชาติที่เก็บไว้ค่ะ
หลายคนเข้าใจผิดว่าการ์ตูนวาดโดยคนฝรั่งเศษ แต่จริงแล้วแต่งโดยนักวาดการ์ตูนชาวเบลเยียม ชื่อ จอร์จ เรมี ในปี ค.ศ. 1926 โดยใช้นามปากกาว่า แอร์เช่ หนังสือการ์ตูนชุดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในทวีปยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้รับการแปลมากกว่า 80 ภาษา และยอดจำหน่ายกว่า 350 ล้านเล่มทั่วโลก
เรื่องราวของตินตินได้รับการถ่ายทอดไว้ในหนังสือจำนวน 24 เล่ม นอกจากนี้ สตีเฟน สปีลเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็กสันกำลังสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันไตรภาค ตินตินเป็นนักข่าวหนุ่มมีนิสัยรักการผจญภัย กล้าหาญ อดทน กระตือรือร้นและต่อสู้เพื่อความถูกต้องในสังคม เขามีสุนัขคู่ใจตัวหนึ่งว่า สโนวี่ (บางสำนักพิมพ์เรียก เมโล หรือ มีลู (Milou)
Cathedral Des Saints-Michel Et Gudule
คือโบสถ์กลางเมืองบรัสเซลล์ที่ได้รับอิทธิพลแบบโกธิค ตึกเป็นหอทรงสูงสองอันเหมือนดูคล้ายฝรั่งเศสหน่อยๆ สร้างปี ค.ศ. 1226 ภายในประดับด้วยสเตรนกราสอันสวยงาม
Brussels Park สวนกลางเมืองที่นี่ไกด์เล่าประศาสตร์อันขมขื่นระหว่างประเทศคองโกและกษัตรเบลเยี่ยม คือว่า 1800s คองโกอยู่ตรงกลางทวีฟแอฟริกาและกษัตรเบลเยี่ยมฉลาดเข้ามาจัดการพื้นที่คั่นกลางระหว่าฝรั่งเศสและอังกฤษในทวีปแอฟริกา ความสัมพัธ์สุดท้ายตือกษัตรกู้เงินในนามคองโก คองโกต้องตกเป็นเบี้ยล้างใช้หนี้มหาศาลที่ค้างคาจนถึงปัจจุบัน
Day 12 : Sun 2 Aug 2015 Belgium – 10.00 Free tour for 2 hours >>> Holland 3 days – Den Bosch
เดินทางโดยรถไฟกลับฮอลแลนด์ที่ Den Bosch หรือ Hertogenbosch พบเอลโก้และเพชร
เมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของของประเทศเนเธอร์แลนด์ ศตวรรษที่ 11 ดยุคเฮนรี่ แห่งบาร์แบนท์ Duke of Brabant ได้สร้างเมืองแห่งนี้และครอบครัวนี้ดูเป็นผู้ดูแลเมืองกว่า 400 ปี เมืองถูกกออกแบบเป็นศูนย์กลางการค้ามีคลองมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง จุดประสงค์หลักในการสร้างเมืองคือการปกป้องตัวเองและการบุกรุกของ Gelre และฮอลแลนด์ แต่มันถูกทำลายใน ค.ศ 1203และถูกสร้างขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา ทศวรรษ 1500 กำแพงและป้อมถูกสร้างให้ขยายพื้นที่และคลองรอบเมืองถูกขุดเสมือนเป็นดั่งป้อมปราการและเส้นทางการค้าเชื่อมต่อกันแม่น้ำ Dommel รัฐเล็กๆแห่งนี้ต่อสู้กับราชวงค์ออร์เรจน์หลายปีและหลายครั้ง ในที่สุดก็ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของฮอลแลนด์ในปี ค.ศ. 1629 เมืองแห่งนี้เป็นเมืองด่านที่เป็นจุดทำสงครามอีกหลายครั้งเช่น สงกครามกับฝรั่งเศาในสมัยพระเจ้าหลุยที่ 14 นโบเรียน และสงครามกับนาซีเยอรมัน ที่นี่เป็นค่ายกักกันชาวยิวถึง 30,000 ตน นอกประเทศเยอรมัน ภายใต้ชื่อ Kamp Vught ก่อนที่เยอรมันจะถูกขับไล่โดยทหารอังกฤษในปี 1940
ตกบ่ายหลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ เราไปเดินเล่นในเมือง เมืองนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าที่คิด ไปชมโบสถ์ประจำเมือง และเพื่อนจองทัวร์เรือเพื่อดูเมืองใต้ดิน คลองที่นี้ซับซ้อนมากบางจัดเข้าออกบ้านเรือ บางส่วนโดนทำเป็นบ้านหรือพื้นถนน Amazing มากเขาไม่ถมคลองแต่ใช้พื้นที่เต็ม เป็นทัวร์คลองค่อนข้างมืด ไกด์อธิบายเป็นภาษาฮอลแลนด์โชคดีที่มีเพื่อนแปลให้ฟัง เมืองแห่งนี้ค้นหาพร้อมความอึ้งที่เขามีความพยายามเอาชนะปัญหาและพร้อมสร้างทางหนีทีไล่ให้ตัวเองอย่างท่วมท้น
Day 13 : Mon 3 Aug 2015 Holland – Dan bosch(Hertogenbosh)
ตอนเช้าตรู่ได้ช่วยเพื่อนเก็บดอกทานตะวัน ลองเป็นเกษตรกรเต็มตัววันนี้มันได้ออกแรงเยอะดี ตอกทานตะวันเก็บเข้าตะกร้า ตะกร้าละ 40 ดอก วันนี้เป็นได้ประมาณ 70 ตะกร้า การเก็บดอกไม้ต้องเก็บตอกที่ไม่บาน เพราะต้องเอาไปเข้าห้องเย็นก่อนประมูนอีก 2 วัน เกษตรกรที่นี่ทำงานโดยมีเครื่องมือมากมาย ไร่ขนาดเล็กทำกัน 2-3 คน ดอกทานตะวันจะถูกใช้เป็นดอกไม้ประดับ ทีทนทานและอยู่ได้ เป็นอาทิตย์ในแจกันแต่ถ้าแดดแรงมันจะบานเร็วมากๆ อีกทั้งคนก็ไม่ซื้อดอกไม้แต่จะออกไปขี่จักรยานแทน ดังนั้นเกษตรกรต้องได้ลุ้นทุกวันว่าจะขายได้ราคาเท่าไรเมื่อนำสินค้าเข้าที่ประมูล
ตอนสายเรานั่งรถไปส่งดอกไม้ที่ตลาดกลางประมูลดอกไม้ ตลาดเปิด 05.00-07.00 จะมีการประมูลสามารถทำการประมูลออนไลน์หรือมาที่สถานที่ก็ได้ การประมูลจะเร็วมาก ทุกอย่างเป็นอิเลกทรอนิคทั้งหมดตั้งแต่เกษตรกรกรอกข้อมูลเข้าระบบจนจบการประมูล นาฬิกามีเข็มถึง 100 หากหมุนถึงเลข 0 แล้วไม่มีใครเคาะประมูล สินค้าที่เหลือต้องทิ้งทั้งหมด เกษตรกรต้องจ่ายค่าทำลายสินค้าด้วย เพื่อนบอกว่ามีบ้างที่โดนแต่เป็นข้อตกลงเพื่อให้การค้ายุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย เกษตรกรสามารถใช้ช่องทางอื่นในการขายได้เช่นกันหากมีคนติดต่อซื้อตรงก็ได้
ตอนบ่ายไปเที่ยวฟาร์มหมู เรียกว่าเทคโนโลยีสุดๆ มีระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องผสมอาหาร หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้น เครื่องดูดนม เพื่อนเอลโก้อธิบายเรื่อง การทำงานของเครื่อง วัวนมจะถูกติดอุปกรณ์คล้ายบาร์โคดทำให้เครื่องดูดนมรู้ว่าดูดไปแล้วเมื่อไร ถึงเวลาดูดใหม่หรือยัง มีการเก็บสถิติทุกอย่าง เต้านมแต่ละข้างก็สามารถรู้ได้ว่ามีสถิติในการปล่อยนมได้เท่าไร เรียกว่าลงทุนเพื่อให้ทุกอย่างง่ายและมีคนทำงาน 2 คน ต่อวัวนม 150 ตัว
ตกบ่ายไปหาเพื่อเอลโก้อีกคนที่ทำฟาร์มลิลลี่ B&B และโรงวัว เพื่อนคนนี้เป็นผู้เชียวชาญเรื่องการเพาะหัวลิลลี่ขายขนาดส่งทั่วโดยลิลลี่ที่ขายพันธ์ต้องปลูกสองครั้งและตัวหัวทิ้งเพื่อให้หัวเจริญเติบโต การปลูกครั้งที่สามเกษตรกรถึงจะปล่อยให้ดอกมันออก
Day 14 : Tue 4 Aug 2015 Dan bosch- Okaspal
ตอนเช้าก็ช่วยเพชรและเอลโก้ไปเก็บลิลลี่และดอกทาตะวันเช่นเคย ก่อนที่จะทำอาหารเที่ยงโดยมีพี่ก้อยและบ็อบมาแจมอาหารเที่ยงก่อนเดินทางกลับ Oudkarspel บ้านพี่ก้อยที่ไม่ไกลจากAmsterdam
Day 15 : Wed 5 Aug 2015 Amsterdam
หลังจากกินข้าวเช้าเราไปเที่ยว Zaanse schans Molen ที่นี้เป็นพิพิธภัณฑ์เอาร์ดอร์ ที่มีกังหันลมให้ดูกัน ซานสครั้นแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคลองหญ้าและกังกันลมประมาณ 7-8 อันให้ดู ซึ่งแต่ละกังหันลมใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกันไป บางที่เป็นโรงงานทำชีส บางอันเป็นโรงเลื่อยไม้ เราสามารเลือกเข้าแต่ละจุดเพื่อดูของจริง ค่าประมาณ 4 ยูโรและเราจะได้เอกสารประกอบ ที่นี่นักท่องเที่ยวเดินทางมามาก และมีจุดถ่ายรูปเยอะมาก ขนมและของฝากก็มากตามลำดับ
จากนั้นเราขับรถไปที่สถานีใกล้เมืองและนั่งรถไฟเข้าตัวเมือง เราเริ่มต้นที่ไชน่าทาวด้วยการทานอาหารจีนโดยพี่ก้อยสั่งอาหารมามากมาย ตามด้วยการเดินชมเมืองอัมเสควร์ Dam square ก็ไม่ผิดหวังเพราะตั้งแต่สถานีรถไฟ แหล่ง shopping แถว red light district คล้ายกับพัฒพงษ์บ้านเรา ซึ่งเปิดทำงานและมีคนให้บริการอยู่เป็นตู้ๆ และมีอุปกรณ์เสริมทางเพศสัมพันธ์มากมาย sex toy คือคำที่ฝรั่งเรียก คือว่าอุปกรณ์มากมายที่ขายกัน ทุกสี ทุกไซต์ เรียกว่า accessory ที่ขายตามห่งบ้านเรายังไม่หลากหลายเท่า sex toy accessory ที่นี่ค่ะ
จากนั้นเรานัดเจอ Brian ที่ห้างไบยาคอบ เพื่อไปทานอาหารสุรินั่ม (Surinum ) ซึ่งอาหารคล้ายชาวเอเชียมากๆ เพราะที่นี่มีชาวอินโดไปอยู่เยอะ จึงได้รับอิทธิพลจากอินโด คนดินโดเดินทางไปอเมริกากลางก็เพราะยุคล่าอาณานิคมคือคนดัชล์ เอาทาสหรือคนเอเชียบางส่วนอพยพไปที่นั่น
อาหารอร่อยค่ะ อร่อยกว่าอาหารฝรั่งและราคาไม่แพง กล้วยทอดอร่อยมากค่ะ
Day 16 : Thu 6 Aug 2015 เที่ยวเอง รอบๆ Amsterdam
วันนี้เที่ยว Brooka vealling มันเป็นเรื่อง บังเอิญมากๆ เนื่องที่นี่ใกล้บ้านพี่ก้อยมากๆ จึงได้ไป นั่งรถเมลย์มาแค่สามป้ายเอง ที่ฮอลแลนด์ เมืองเล็กๆต่างๆจะมีพิพิธภัณฑ์เป็นของตัวเอง เพื่อทำให้ครุ่นหลังได้เรียนรู้ Brooka Vealling ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่นี้เคยเป็นสถานที่ประมูลสินค้าเกษตร หรือตลาดกลางสินค้าเกษตร บริเวณนี้เป็น Polder ที่มีเกาะแก่ง thousand island ที่เหมาะกับการเพาะปลูกดังนั้นจึงทำให้มีผลิตภัณฑ์การเกษตรมาก ปัญหาที่เกิดคือบางครั้งผลผลิตขาดหรือเกิน ถูกกดราคาซึ่งเป็นปัญหาที่เรารู้กันอยู่และมีทุกที่ ตลาดกลางจึงสร้างขึ้นมากประมาณปี 1800 ก่อน ซึ้งชาวสวนสามารถผลิตภัณฑ์ใส่มา ใช้มาจนหยุดในปี 1975 จากนั้นรูปแบบตลาดกลางก็ถูกแยกไปเป็น ตลาดผัก ผลไม้ ดอกไม้ที่เป็นศูนย์กลาง ที่มีความทันสมัยขึ้นโดยมี Brooka Vealling เป็นต้นแบบ และวันนี้ใช้เวลาที่ Museum ก่อนที่จะเข้าไปร่วมการประมูล ปล. ประมูลไม่ได้ซักอย่าง ต้องถือว่าเจ๋งมากๆ ชอบ ชอบที่พายเรืออกมาให้เราประมูล นายประมูลก็ อธิบายเป็นภาษาดัชน์ทำให้เราลุ้นน่าดู ต่อจากนั้นเรานั่งเรือเที่ยว บริเวณโดยรอบ
บ่ายเดินทางไป Alkarmar โดยรถบัส กะว่าจะไปตลาดชีสแต่ google map บอกว่าปิดแล้วจึงได้แต่เดินไปมาบริเวณรอบๆ
Day 17 : Fri 7 Aug 2015 – ไปเที่ยว Amsterdam และไป Rijk Museum
วันนี้ไปเที่ยวเอง กลับที่ Amsterdam ตอนสาย ๆ นั่งรถและต่อรถไฟไปเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง คือว่ามันเสียเวลาตอนต่อรถค่ะ ในที่วุดก็มาถึง Amsterdam จนได้ หลังจากกินข้าวเที่ยวก็ไปเที่ยว Rijk museum เป็นที่ที่แนะนำเป็นอย่างยิ่งและต้องใช้ Walking tour ที่ถือว่าคุ้มที่สุดเลย และจะได้รู้ว่าคนที่เขาชื่นชมรูปภาพเขาไปยืนจ้องอะไรกัน 5555 มัคคุเทศก์ ชั้นเทพ เริ่มจากพาเราชมประติมากรรมครึ่งตัวที่ทำจาก Bronze รูปพระแม่มารีย์ ยุค Middle ages หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน
ไฮไลท์คือของแวนโก๊ะชิวิตจิตกรระดับโลกนี่น่าเศร้าจริงๆ ขายรูปไม่ได้เงิน แต่งานของตัวเองเป็นที่ยกย่องหลังจากที่ตายไปแล้ว
และแรมแบรด์ The night watch ภาพที่ถูกว่าจ้างให้วาดและแขวนไว้ที่สำนักงาน ภาพนั้นมีมูลค่าที่ประเมินไม่ได้ ราคามากกว่า 5000 ล้านดอลล่าร์ แรมแบรนด์ ใช้เวลา 3ปีในการวาดภาพ ปรกติเขาจะวาดคนยืนตรง หน้าตรงเดะ แต่แรมแบรนนด์เลือกวาดรูปที่มีมิติ แสงสว่างไม่เท่ากัน จากคำอธิบายจับใจความได้ว่าประมาณว่าจ่ายเงินมากได้อยู่หน้าและมีแสงลงเยอะหน่อย อีกทั้งเขาลงรายละเอียดแบบ น่าอัศจรรย์ เงาของวัสดุ แรมแบรนด์แอบอยู่ในรูปบ้าง ล้นแล้วแต่เป็นรายละเอียดที่น่าสนใจ ขอบอกว่ามัคุเทศก์เก่งทำให้เราสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะไปเลย ทำให้หวนนึกถึงอาจารย์ที่เก่งๆ สามารถถ่ายทอดและทำให้เราเปลี่ยนไปชอบหัวเรื่องต่างๆได้
สรุปว่าอยากไป เที่ยวยุโรปอีก และจริงๆอยากทำทัวร์ขายเพื่อนๆเลยแต่เป็นแนวแบกเป้เที่ยวสนุกๆ ไม่รู้ว่าจะมีใครอยากเที่ยวแบบลำบากแบบนี้ไหม – แต่หากใตรสนใจสอบถามอะไรก็สอบถามมาได้นะคะ